เทศน์เช้า

ต้องแทงทะลุอวิชชา

๑๗ ก.ค. ๒๕๔๒

 

ต้องแทงทะลุอวิชชา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

การปฏิบัติธรรม ฟังนะ การปฏิบัติธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้า กว่าพระพุทธเจ้าจะได้มานะ กว่าพระพุทธเจ้าจะได้ธรรมะมา ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าต้องผ่านอวิชชาปัจจยา สังขารา กว่าจะแสวงหา ๖ ปี ๖ ปีขนาดว่าบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลำบากขนาดไหน? ศึกษาวิชาต่างๆ มา อาฬารดาบส สมาบัติ ๘ ครูบาอาจารย์องค์ไหนดีไปหาหมด ไปหามาแล้ว

นี่มันเพราะว่ามีอวิชชามันก็ศึกษาด้วยเราเข้าไปรับรู้ด้วย อวิชชา เราเกิดมาทุกคนเกิดมีอวิชชาไปด้วย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระนะ ชำแรกออกมาเป็นไข่ไง ท่านเปรียบเหมือนว่า... มีพราหมณ์มาถามว่า

“ทำไมพระพุทธเจ้าไม่กราบพราหมณ์ที่สูงอายุกว่า?”

ท่านบอกใน “โลกนี้ไม่มีใครจะอาวุโสเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าท่านเป็นองค์แรกที่ว่าชำแหละ ไก่อ่ะ กะเทาะเปลือกไข่ออกมาไง”

อวิชชาคือเปลือกไข่ ไก่ตัวแรกที่เกิดมาในโลกนี้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะมีใครเลิศกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เป็นผู้ชำแรกออกมาจากเปลือกไข่ คืออวิชชาที่ครอบจิตอยู่ อวิชชาดับจากใจดวงนั้น ถึงปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ไง เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนโลกไง

นี่ธรรมมันธรรมอันนั้น อวิชชาที่อยู่ในใจนี่อวิชชาก่อน ถ้ามีอวิชชาอยู่ การศึกษาทีแรกก็เป็นอวิชชาพาศึกษาไง อวิชชาปัจจยา สังขารา เห็นไหม อวิชชาทำให้เกิดความคิดทั้งหมด มันเกิดสังขารออกมา นี่อวิชชา แล้วถ้าเราศึกษา ฟังสิ กลับมาที่พวกเรา ก็เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาไปศึกษาที่ไหนก็เอาอวิชชาตัวเองไปศึกษาด้วย เราจะศึกษาอะไร อวิชชาเราก็ไปด้วย

เราเกิดมาเป็นเด็กไร้เดียงสามากเลย ก็มีการศึกษามา เห็นไหม มีการศึกษา มีการแข่งขัน เขามีการแข่งขัน เขามีการต่อสู้ มีการเอารัดเอาเปรียบ นี่อวิชชาพาศึกษาไปทั้งหมด จะศึกษาอะไรก็อวิชชาพาศึกษา แล้วจากเด็กขึ้นมา สิ่งแวดล้อมก็บังคับเรามา เราโตขึ้นมาเราก็มาศึกษาวิชาการ วิชาชีพ พอจะมาปฏิบัติธรรมมันก็เอาอันนี้ผูกพันเข้ามาด้วยไง นี่เอาผูกพันเข้ามาด้วย ทีนี้การปฏิบัติออกไปมันมีอวิชชาตัวนี้เข้าไปด้วย มีอวิชชาเข้าไปศึกษาด้วย การศึกษาของเรามันถึงไม่สะอาดบริสุทธิ์พอ ไม่เป็นปัจจัตตัง มันไม่เป็นมัคคะอริยสัจจังโดยตามความเป็นจริงไง มันอวิชชาเอาไปกินครึ่งหนึ่ง

นี่เพราะว่าเราคิดกันอย่างนั้น เราคิดด้วยวิชาการของเรา เราคิดด้วยอวิชชาพาคิด มันก็เลยมองว่าเราศึกษาธรรมะแล้วเรารู้ เราเข้าใจ เรารู้ เราเข้าใจทำไมมันไม่ชำระกิเลสล่ะ? มันไม่ชำระกิเลสเพราะมันมีอวิชชาพารู้ไปตลอด รู้การเคลื่อนไหว รู้หมด อวิชชาพารู้ไปเรื่อย อวิชชามันอยู่กับเราพร้อมไป เพราะอวิชชาไม่สงบตัวลงถึงต้องทำสมาธิไง เอาสมาธิมาเพื่อให้อวิชชานี้สงบตัวลงไป

ปัญญาเกิดขึ้นมามันเป็นปัญญาที่เกิดจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินทางนี้ไปก่อน นี่ถึงบอกว่าต้องทำสมาธิ ทำสมาธิทำให้จิตสงบก่อน จิตสงบจากอวิชชา จิตสงบจากโลกแล้วค่อยมาวิปัสสนา การยกขึ้นวิปัสสนา อันนั้นถึงเป็นวิปัสสนา แต่ถ้าทำไปเลย ทำกันไปเลย นี่เราก็มีอวิชชาอยู่ แล้วเราก็เคลื่อนไหวไป มันอยู่ในวงของอวิชชา จะดีขนาดไหนก็อยู่ในวงของอวิชชา

นี่อวิชชา เห็นไหม คำว่าอวิชชาเป็นกิเลส เราก็กลัวกันมากอวิชชาเป็นกิเลส ไปดูตามวัด ตามวา อวิชชาก็วาดไว้เป็นตัวยักษ์ตัวมาร ตัวเขี้ยวใหญ่เลย น่ากลัวมากเลย อวิชชานี่ครอบกินใจสัตว์โลกทั้งหมด อวิชชาอยู่บนหัวใจของสัตว์โลกทั้งหมด มันน่าขยะแขยง มันน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วมันอยู่กับเรา มันน่ากลัวที่ไหน? มันอ้อยอิ่งหลอกกินไปกับเราพร้อมกันนะ แต่เวลาเทียบเป็นความหมายว่ายักษ์ว่ามารไง

เวลาโกรธ เวลาหลงไปนี่เหมือนกับยักษ์ เหมือนกับมาร เหมือนกับเปรต เพราะว่าเราควบคุมใจเราไม่ได้ มันเหนือกว่าเรา แล้วพอว่าเป็นยักษ์เป็นมาร เราก็คิดว่ามันมีอำนาจเหนือเรา เราก็ต้องเขียนให้อวิชชาเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย ก็เขียนเป็นยักษ์เป็นมาร แต่ความจริงมันเป็นเรา มันอ้อยอิ่งอยู่ในหัวใจ ทำไมเราหักห้ามใจเราไม่ได้ เราอยากแต่เราหักไม่ได้ เราหักห้ามใจเราไม่ได้ เราเหนี่ยวรั้งใจเราไม่ได้เพราะอะไร? นั่นคือว่ามันมีอำนาจเหนือ เหนือด้วยความอ้อยอิ่งไง อำนาจเหนือ เหนืออยู่ในเรา นี่ตัวอวิชชามันเหนืออย่างนั้น

ทีนี้เราต้องทำความสงบ เราเปรียบเหมือนกับเหล็กท่อนแดงๆ เวลาเราศึกษาธรรมะกันมาว่าถ้าจะปฏิบัติธรรม เวลาจะวิปัสสนาต้องตอนเหล็กแดงๆ จะตีเหล็กต้องตีตอนเหล็กแดงๆ ตีเหล็กแดงๆ นะ เราเห็นว่าตีเหล็กแดงๆ ถ้าเป็นวิชาการโลกเพราะมีเรา มีอวิชชา เราตีเหล็กแดงๆ เราไปเห็นเหล็กแดงๆ มันตีไปนี่ แต่เราเคยตีไหม? เราไปเห็นช่างตีเหล็กก็ว่าเราเข้าใจแล้ว เรารู้แล้ว เราเข้าใจว่าช่างตีเหล็กต้องตีเหล็ก แต่เราไม่เคยตีเหล็ก อันนี้เป็นวิชาทางโลกนะ

แต่ถ้าเป็นทางธรรม ตัวอวิชชามันคือตัวเหล็กแดงๆ ถ้าเราไปเห็นเหล็กแดงๆ เราต้องจับเหล็กแดงๆ นั้น แต่ถ้าทางโลกว่าเวลาจับเหล็กแดงๆ มือนี้จะพอง มือนี้จะไหม้ไปหมดเลย แต่ถ้าเราไม่จับเราก็ไม่ได้ตัวมัน เราต้องจับเหล็กแดงๆ นั่นน่ะ แต่มันจับด้วยนามธรรม เห็นไหม เหมือนกับอวิชชามันเป็นยักษ์เป็นมารแล้วน่ากลัวมาก แต่จริงๆ แล้วมันก็คือความผ่องใส ความสว่างไสวอยู่กลางหัวใจ แต่เราไปอ้อยอิ่งโดนมันหลอกอีกชั้นหนึ่ง แต่ถ้าเราเข้าไปจับเหล็กแดงๆ มันเหมือนกับมือเราจะพองไง

มือเราจะพอง มือเราจะเจ็บปวด แต่ต้องจับเพราะอวิชชามัน นี่ตรงนี้อวิชชา มันจะไม่ให้เราจับตัวเหล็กแดงๆ นั้นไง มันจะให้เราเดินตามต้อยๆ มันเป็นอดีต อนาคต มันไม่เป็นปัจจุบันธรรม แต่ถ้าเราไปจับเหล็กแดงๆ มันจับด้วยมัคคะอริยสัจจังมันไม่พองหรอก มันไม่เสียหายหรอก ต้องจับ ต้องวิปัสสนา ต้องจับเลยนะ ต้องจับ ต้องต่อสู้ คือตัวอวิชชาคือใจเรา คือสสารตัวนี้มันเป็นเหล็กแดงๆ ไง แต่เราไปยืนดูเหล็กแดงๆ

เราว่าช่างตีเหล็ก ช่างตีเหล็กกับวิชชา เวลาวิชชาเกิด เวลาปัญญาเกิด ตัวจิตนั้น เห็นไหม สติเกิดจากไหน? สติเกิดจากจิต แต่สติไม่ใช่จิต ความคิดนี้มันเกิดจากไหน? เกิดจากตัวจิต จิตนี้เป็นพลังงานเฉยๆ คิดออกมาเป็นอารมณ์ นี่ต้องย้อนกลับเข้าไปจับไอ้ตัวความรู้สึกตัวนั้น ต้องย้อนกลับเข้าไป ย้อนกลับเข้าไป ถึงว่าต้องจับไง ยิ่งจับ ยิ่งชำระ ยิ่งสะสาง นั่นแหละคือการทำลายตัวมัน แต่ถ้าไปดูช่างตีเหล็กดูไปเถอะ

ช่างตีเหล็ก เห็นไหม ช่างตีเหล็ก แต่เราไม่ใช่ช่าง เราไม่ใช่ช่างแต่เราเปรียบมา อันนี้เป็นจินตมยปัญญา แล้วก็คิดวิปัสสนาไป ตามความเป็นจริงไป ก็เดินต้อยๆๆ ตามกันไป แต่ไม่ได้จับตัวเหล็กนั้น ต้องจับ ต้องจับตัวเหล็กนั้นเลย นี่จับตัวเหล็ก จับไฟแดงๆ นั้นวิเคราะห์ วิจารณ์ เอามาดูว่าไอ้ตัวเหล็กแดงๆ นั้นมันเป็นอะไร? ไอ้ตัวเหล็กแดงๆ นั้นน่ะ

นี่ตัวเหล็กแดงๆ เห็นไหม มือไปจับเข้ามันเปรียบเทียบไง ทีนี้พออารมณ์มันก็เหมือนกัน มันเป็นอารมณ์ขึ้นมามันเกิดจากจิต สติเกิดจากจิต อ้าว นึกสิ นึกระลึกรู้อยู่นี่สติพร้อมเลย แล้วอันนี้เป็นการเป็นงาน ถ้าเราเผลอไผลนะมันทำโดยสัญชาตญาณไง สัญชาตญาณมันทำไป แต่มันไม่มีไอ้ตัวสติตัวสัมปชัญญะ ความพร้อมออกมาจากไง สติชอบ ปัญญาชอบ ความดำริชอบ ความเห็นชอบย้อนกลับเข้าไป

นี่มันเป็นนามธรรมแต่มันอยู่ข้างใน ถึงบอกเวลาถ้าปฏิบัติด้วยอวิชชาปฏิบัติ มันทำให้เราคร่อมไปไง มันเหมือนกับว่าเราได้ผล เหมือนกับว่าเราได้ผล แล้วได้จริงๆ ได้เพราะอวิชชาพาได้ แต่ไม่ใช่วิชชาจรณสัมปันโนไง วิชชาที่เป็นวิชชาของพระพุทธเจ้า วิชชาตัวนี้พาเป็น ตัววิชชาพาเป็น มันหักห้ามได้หมด มันยับยั้งกระแสของใจได้ทั้งหมดเลย นี่มันยับยั้งได้

เปรียบเหมือนนะ เปรียบเหมือนที่อาจารย์ว่านั่นน่ะ พอมันเป็นความว่าง เข้าไปนี่เป็นความว่างหมดเลย ความว่างๆ หมดเลยนะ ก็ถนอมความว่างนั้นไว้ ถนอมไว้นะไม่กล้าแตะต้องความว่างนั้น แต่เวลาพิจารณานะความว่างเหมือนทองคำ เหมือนทองคำ ฟังสิเหมือนทองคำ กลัวทองคำนั้นจะบุบสลายไง สงวนไว้ๆๆ แต่ถ้าถึงเวลาจับเหล็กแดงๆ ขึ้นไป จับตัวทองคำแล้วพิจารณาทองคำ ทองคำนั้นกลายเป็นขี้ควาย อวิชชาปัจจยา สังขารานี้เป็นตอ เป็นตอ เป็นตัวจิตไง เวลามันข้ามพ้นไปจากตอของจิต เห็นไหม ตอของจิตนั้นกลายเป็นขี้ควาย อาจารย์บอกเป็นกองขี้ควาย แต่เดิมเข้าใจว่ามันเป็นทองคำไง ถนอมไว้

อันนี้ก็เหมือนกัน เหล็กแดงๆ ไม่กล้าจับ ความที่ไม่กล้าจับเหล็กแดงๆ นั้นน่ะ ก็เหมือนถนอมไว้ เราไม่กล้าทำลายมัน เราไม่กล้าทำลายมันเราก็ไม่กล้าจับต้องอวิชชา เราไม่ได้จับต้องอวิชชา เราไม่ได้ตัวอวิชชา เราจะไปทำอะไร? อวิชชาคือสัญชาตญาณ อวิชชาคือความเคยใจ ความเคยของใจ มันออกมาจากความดำริพร้อมกัน พระพุทธเจ้าถึงได้เย้ยมารนะ เวลาข้ามพ้นจากมารไป

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”

ความดำริ เห็นไหม ก่อนจะคิดอีก ความดำริออกไป แล้วอวิชชาก็ตามมา นี่ตามมา ถ้าเราไม่ย้อนกลับเข้าไปตรงอวิชชานี้เราจะไปเจออะไรล่ะ? แต่ถ้ามันเป็นเหล็กแดงๆ เราไม่กล้าจับ ไอ้คำว่าไม่กล้าจับนี้มันเป็นโลก ถ้าโลกคิด คิดอย่างนั้น นี่พอโลกคิด โลกเห็น วิชาการเป็นอย่างนั้น แล้วความเห็นเราต้องเป็นแบบนั้น เพราะเป็นความเห็นของโลก ถึงต้องทำความสงบไง ถึงต้องทำความสงบมาให้ความเห็นนี้ไม่ใช่โลก เป็นโลกุตตระ ความเห็นของโลก ความเห็นของโลกเวลาภาวนาเข้าไป ก็ความเห็นเราเข้าไปวิเคราะห์ วิจารณ์ด้วย พอวิเคราะห์วิจารณ์ก็ว่ามันเป็นทางนั้นธรรมชาติ

มีพระหลายองค์เลยนะนั่งจนสว่าง น่าเห็นใจ นั่งจนสว่างๆ นะ นั่งได้ตลอด นี่เวลาเราไปคุยด้วยนะ เขาบอกว่าไม่ได้ ทำไม่ได้ ต้องรอให้เหมือนกับผลไม้ออกมา มะม่วงออกมา ต้องรอให้มะม่วงออกจากต้นเอง แล้วมะม่วงนี่แก่ไปเองไง ต้องให้มะม่วงออกเองนะ นี่เปรียบเหมือนกัน ถ้ามะม่วงออกเอง จิตมันสงบไง จิตมันสงบนี่นั่งได้ยันสว่าง แต่ไม่ยกขึ้นวิปัสสนา ฟังสิ ไม่ยกขึ้นวิปัสสนาเพราะว่าอวิชชาพาคิดไง

แม้แต่ในภาวนา เห็นไหม จิตนี้สงบลงก็ต่อเมื่อให้มะม่วงนี้ออกมา คือว่ามีสมาธิแล้วเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่! มีสมาธิจะเกิดปัญญาได้อย่างไร? สมาธิคือทำใจให้สงบ มันก็สงบของสมาธิใช่ไหม? ไอ้ปัญญาที่มันเกิดขึ้นที่ธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิด นี่เวลาจิตมันสงบความเห็นต่างๆ มันจะเกิดขึ้น อันนี้ธรรมมันเกิด ธรรมเกิดขึ้น ความเห็นเกิดขึ้น ความเห็นอันนี้ไม่ชำระกิเลส เพราะอะไร? เพราะยังไม่เจอตัวกิเลสไง ยังไม่จับต้องอวิชชา เราไม่กล้าจับไง

อวิชชาคือความเห็น เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เพราะอวิชชาอาศัยใจอยู่ อวิชชาเจ้าวัฏจักร แล้วลูกหลานของอวิชชาที่ออกมา อาศัยขันธ์ออกมา อาจารย์บอกว่า “อาศัยขันธ์เป็นเครื่องดำเนิน” อาศัยความคิดไง อาศัยอารมณ์โกรธ อาศัยอารมณ์โลภ อารมณ์หลง นี่อวิชชาอาศัยหากินในขันธ์ ๕ ตัวขันธ์ ๕ ไม่ใช่อวิชชา ตัวจิตไม่ใช่อวิชชา แต่ตัวที่อาศัยจิต และอาศัยขันธ์ ๕ หากินนั้นคือตัวอวิชชา ถ้าอวิชชาเป็นเรา อวิชชาเป็นจิตเป็นอันเดียวกัน ทำไมเกิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ชำระอวิชชาขาดจากใจไปได้ ทำไมเกิดอริยสาวกออกมาที่เป็นเครื่องดำเนินกันว่านี่อวิชชาขาดออกไป อวิชชาคือกิเลส แต่อาศัยอยู่บนหัวใจไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์สักแค่ว่าขันธ์

ถ้าขันธ์นี้สลัดอวิชชาออกไปแล้ว ขันธ์นี้เป็นภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นภาระอย่างยิ่ง แต่ถ้าปุถุชนเรา ขันธ์นี้พร้อมกับมารไง ขันธมาร กิเลสมาร ขันธมารเป็นมารทั้งนั้นเลย แต่ถ้าอวิชชาสลัดออกจากขันธ์ ๕ ไป ขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระ ฟังสิ ขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระเฉยๆ ไม่ใช่ตัวอวิชชา ถึงว่าต้องพิจารณา แต่มันอาศัยอยู่ในกายกับจิต เห็นไหม แต่นี่เป็นกายกับจิตมันเป็นสิ่งที่ว่าเราจับต้อง มันใหญ่เกินไป อำนาจมันเหนือ เหมือนภูเขาทั้งลูก เราไม่สามารถทำลายมันได้ ถ้าเราเจาะภูเขาเข้าไป เจาะภูเขาเข้าไป เราใส่ระเบิดเข้าไป เราสามารถระเบิดภูเขาได้นะ เราเจาะรูนั้นเข้าไป

นี่ก็เราคิดเข้าไปในหัวใจของเราไง พิจารณาในขันธ์ ๕ พิจารณาในกาย แต่ให้เห็นตามความเป็นจริงนะ เห็นตามความเป็นจริง กายนอก เรานึกขึ้นมานี่เป็นกายนอก เพราะอะไร? เพราะอารมณ์นึกขึ้นมาเป็นกายนอก อารมณ์นึกขึ้นมาเป็นกาย พิจารณากายเข้ามา กายนอกทำให้จิตสงบเข้ามา กายในคือตาธรรมเห็น นี่ถ้าตาธรรมเห็น เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นจากใจนี่ เพราะกิเลสมันอาศัยออกมาด้วยไง

กิเลสนี่อาศัยขันธ์ ๕ อาศัยโลภ อาศัยโกรธ อาศัยหลงนี้หากินใช่ไหม? เราก็ย้อนกลับไปพิจารณาขันธ์ ๕ เหมือนกัน พิจารณาขันธ์ ๕ จนแหลกขาดออกหมด สิ่งที่มันอาศัยมาอยู่ในขันธ์ ๕ มันจะอาศัยอะไร? กิเลสมันจะอาศัยอะไร? ในเมื่อสิ่งที่มันอาศัย เราทำลายสิ่งที่อาศัยนั้นก่อน ถึงต้องจับเหล็กแดงๆ ทำลายเหล็กแดงๆ นั่นไง มันเป็นนามธรรม ยิ่งทุบ ยิ่งทำลาย ยิ่งสะอาด ยิ่งผ่องใส เห็นไหม ยิ่งทุบ ยิ่งทำลาย ยิ่งสะอาด พอมันสะอาด ขันธ์ ๕ เป็นขันธ์ ๕ ชำระออกจากกิเลสแล้วยิ่งสะอาด แต่เราไม่กล้าจับเหล็กแดงๆ เราไม่กล้าจับเพราะเป็นเราไง

เราเป็นเรา เรากลัวสะเทือนเรา เรากลัวเจ็บเรา เราไม่กล้าจับขันธ์ ไม่กล้าจับตัวกิเลส เพราะกิเลสมันอยู่ผลักดันออกมา ถึงต้องทำความสงบ เห็นไหม ทำความสงบให้จิตมันสงบ แล้วพิจารณามันถึงเป็นโลกุตตระ โลกียะทั้งหมด แต่ถ้าไม่มีโลกียะเข้ามา ถ้าไม่มีศรัทธามา เรามานั่งอยู่นี่ได้อย่างไรถ้าไม่มีศรัทธาตัวชักนำเข้ามา ตัวศรัทธาความเชื่อในปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าไง เชื่อในเมตตา เชื่อในปัญญา

คนตาบอด กิเลสมันครอบคลุมตาไว้ มันไม่สามารถเห็น ไม่สามารถเข้าใจหรอก ก็ต้องเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วก็มาฟังธรรม ฟังธรรมปฏิบัติเข้าไป ปฏิบัติเข้าไป ถ้าฟังธรรมแล้วมีความเชื่อ ความเชื่อนี่ธรรม ธรรมคืออะไร? ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา นี่ธรรมทั้งหมด

ความดี ศีล ๕ นี่ธรรม แต่ธรรมมันก็มีหยาบมีละเอียดขึ้นมา จากหยาบๆ ขึ้นมาก่อน มีทานขึ้นมาก่อน มีทานขึ้นมาถึงมีศีล มีศีลก็เริ่มจากวิปัสสนา มีสมาธิ มีปัญญาวิปัสสนา นี่มีสมาธิวิปัสสนา วิปัสสนาถึงจะเป็นวิปัสสนาจริง วิปัสสนาเพื่อชำระกิเลส แต่ถ้าปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา มันชำระถอดถอนจากความยึดมั่น ความฟุ้งซ่าน จิตนี้ครอบสามโลกธาตุ มันรู้ไปหมด สิ่งใดที่รู้มันจะออกไป อวิชชาหากินตามขันธ์ ตามความคิดที่ออกไป ความคิดที่ออกไปมันยึดหมด มันฟุ้งซ่านทั้งหมด

เราเห็นความเปรียบเทียบว่านี่เหมือนกับไฟข้างนอก เขาว่าสิ่งนั้นไม่ถูก จิตนี้มันโง่นักไปจับต้อง เพราะเราจะรู้ไม่รู้สิ่งนั้นกาลเวลามันผ่านไปแล้ว ข่าวจะร้ายดีขนาดไหนนี่เรารู้ เหตุมันเกิดขึ้นแล้ว เราทำอะไรไม่ได้หรอก มันผ่านไปแล้ว พิจารณากายนอกก็เหมือนกัน กายนอกมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เจ็บปวด เจ็บทุกข์ได้ยากมันก็ปล่อยเข้ามา มันสลดเข้ามา สลดเข้ามามันปล่อยความฟุ้งซ่านเฉยๆ มันปล่อยความฟุ้งซ่านเข้ามาให้มันเป็นอิสระกับตัวมันเอง แล้วตัวมันเองต้องยกขึ้น

การยกขึ้น เพราะว่าอวิชชาอยู่ข้างในมันผลักออก มันจะยกขึ้นหมายถึงว่าเห็นตัวมันไง เห็นที่อยู่อาศัยไง เราไปจับโจร เห็นไหม เวลาเขาทำความผิด เขาแอบซ่อน เขาแอบซ่อนที่ไหน? แอบซ่อนอยู่ที่บังตาคน กิเลสมันก็อาศัยขันธ์ ๕ ธาตุขันธ์ ๕ นี้บังไว้ไง แล้วมันอาศัยหากินอยู่นี่ไง แต่ถ้าไม่สงบมันผลักออก มันผลักออกเพราะคิดมาจากมัน ถึงต้องทำความสงบ ทำความสงบทำสมาธิไง ถึงมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา

ทาน ศีล ภาวนา ต้องมีสมาธิตลอด มีตัวสมาธิถึงจะมีปัญญา แต่มีปัญญาต้องยกขึ้น ปัญญาโลกุตตรปัญญา ฟัง! โลกุตตรปัญญานี้มันเหมือนกับภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น ชำระกิเลสได้ ภาวนามยปัญญาปัญญาที่ชำระกิเลส ไม่ใช่ปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี่หรอก ปัญญาคิดอยู่นี่ปัญญาตรึก ภาวนาขนาดนั้น แม้แต่เราก็ไม่มี ฟังสิ ตัวเรานี่เป็นแรงดึงดูด ตัวเรานี่ตัวเข้าข้างตัวเอง ตัวเราคือตัวเห็นแก่ตัว ตัวเราคือตัวไม่กล้าจับเหล็กแดงๆ เพราะกลัวมือมันจะเจ็บ เราทั้งนั้น เราผลักออก เราจะเจ็บ เราจะปวด จะนั่งภาวนาก็เราจะทรมานตัวเอง พระพุทธเจ้าสอนให้มัชฌิมา ให้ตามสบาย นี่ไอ้ตัวเรามันมาทำลายความเพียรของเราตลอดเวลา เรายังว่าเป็นเราอยู่อีกหรือ? เราก็คืออวิชชาไง

นี่ไอ้เรานั่นแหละ ถ้าสมาธิเกิดขึ้นได้ ไอ้เรานี้จะสงบตัวลง ไอ้เรานี่จะยุบยอบตัวลง เพราะยุบยอบตัวลงมันถึงเกิดเป็นความสงบ ถ้าไม่ยุบยอบตัวลง ตัวนี้ไม่เป็นความสงบ นี่ความสงบบ่อยเข้าๆ สงบทีแรกมันก็มีพลังงานเฉยๆ มหัศจรรย์เฉยๆ สมาธิธรรมไง เห็นเงาของพระพุทธเจ้า

นี่ผู้ใดเห็นธรรม เห็นสมาธิธรรมก็จิตใจพอมีเครื่องอยู่เครื่องอาศัย เครื่องอยู่เครื่องอาศัย แต่ไม่ใช่เครื่องมือทำลาย ทำความสงบบ่อยๆ ให้จิตให้เป็นเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นเป็นผู้ใหญ่ขึ้น นี่จะยกขึ้นวิปัสสนาได้ ยกขึ้นได้ ถ้าไม่ได้ก็ต้องฉลาด ไม่ได้ต้องค้นคว้าไง ทุกคนมีเงิน ทุกคนอยากลงทุน ทุกคนอยากทำธุรกิจ แต่ตลาดมันแน่นทำอย่างไรล่ะ? คนที่ฉลาดเท่านั้นถึงจะเจาะตลาดเข้าไปได้ คนที่ฉลาดเท่านั้นถึงจะเจาะกิเลสเข้าไปได้ คนที่ฉลาดเท่านั้นถึงจะยกเห็นตัวกาย เวทนา จิต ธรรม

เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมเพราะกิเลสเป็นนามธรรมอาศัยตรงนี้เดินผ่าน ก็ย้อนกลับสิ่งที่มันอาศัยออกมานั่นแหละ ทำลายอาหารของมันทั้งหมด ทำลายทางเดินของมันทั้งหมด แล้วอวิชชาจะไปไหน? อวิชชาอยู่ในกำมือไง อยู่ที่กลางหัวใจของเราไง ถ้าชำระอวิชชาได้เราก็มีความสุขไง ทุกข์เพราะมีอวิชชา เราบ่นทุกข์อยู่นี้เพราะเรามีอวิชชาไง ถ้าทำลายมัน ทำลายมันนะ มันไม่ใช่เรา เพราะมันเกิดขึ้นกับใจแล้วมันดับได้ ถ้าดับไม่ได้พระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้

พระพุทธเจ้าเกิดมากิเลสพาเกิด อริยสาวกต่างๆ ก็กิเลสพาเกิด กรรมถึงชำระได้วิธีนี้ไง กรรมทำลายได้ ทำลายตัวที่ว่าเป็นภวาสวะ ตัวภพ ตัวตั้งอยู่ ตัวฐานที่โดนยิงไง ตัวฐาน ตัวที่หมาย นี่ทำลายทั้งหมด แล้วไม่ใช่ทำลายข้างนอกด้วย ที่หมายอยู่ข้างใน ภวาสวะ ภวาสวะไง อวิชชา ๓ ภวาสวะ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ถ้าเราพบที่ตั้งหมด อวิชชาอยู่ที่นี่ไม่ได้ นี่ทำลายเข้ามา

นี่อันนี้ต่างหาก อันนี้ต่างหากถึงว่าเป็นยกขึ้น มันถึงว่าเป็นโลก เป็นโลกไม่มีเราอาศัย ถ้ามีเราอาศัยเราทำอะไรไม่ได้ ห่วงไปหมดนะ นั่งมากก็ไม่ได้ขาจะเจ็บ จะนั่งมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวกาลเวลา เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีงานทำ นี่ขนาดนี้ยังเป็นขนาดนี้ แล้ววิปัสสนามันจะตามไปตลอด เพราะมันอยู่ในฐานของเรา อยู่ในฐานของความคิดจากภายใน มันจะต่อต้านไปตลอดเลย มันจะต่อต้านไปตลอด ทำให้เราล้มไปตลอด เพราะมันจะอาศัยบ้านของมัน

ใครทำลายบ้านของเรา เราก็ต้องรักษาบ้านของเรา เราก็ต้องปกป้อง แต่นี้ทำลายอวิชชาด้วยนามธรรมทำลายได้ ต้องทำลายได้ แล้วต้องทำลายด้วย ไม่ใช่เข้าไปทำลายได้แล้วไม่ทำลาย ทำลายได้ด้วย ต้องทำลายด้วย ถึงจะเป็นเอกบุรุษไง เอกบุรุษ เอกสตรี เอกทั้งหมด เอกเลย มันไม่มีของคู่ โลกนี้คือของคู่ทั้งหมด ได้หรือไม่ได้ มืดคู่กับสว่าง เอโก ธัมโม ธรรมหนึ่งเดียว

นี่นิพพานหนึ่งเดียวมีอยู่ แต่มีแบบนิพพาน พูดไม่ได้ ถ้าพูดนั้นเป็นสมมุติทั้งหมดเลย ถ้าพูดได้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิบายไว้หมดแล้ว เพราะพุทธวิสัย ปัญญาเหนือทุกคน ในสามโลกธาตุนี้ไม่มีใครสู้ได้ พระสารีบุตรนี้เป็นผู้ที่มีปัญญามากก็ยังสู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้หรอก แล้วทำไมใครจะมาเก่งอธิบายเรื่องนิพพาน มันชนะครูหรือ? มันจะเก่งกว่าครูไปได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ ไอ้โลกนี้ที่เป็นไปได้มันเป็นวัตถุทั้งนั้น อธิบายกันไปๆ จะทั้งนั้น หรือทั้งนั้น จะเป็นไปถ้าทำได้จุดนี้ๆๆ จะทั้งนั้นเลย

แต่อันนี้ไม่ใช่จะ จริงเด็ดขาด ทุกข์เกิดที่ใจ ดับที่ใจ ขาดหมด ขาดหมด ขาดออกจากใจเลย แล้วพ้นออกไปจากทุกข์ แต่ร่างกายมีอยู่ ร่างกาย เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน ใจนี้พ้นไปแล้ว แต่ร่างกายนี้ยังเป็นที่รองรับกรรม พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายยังโดนทุบ เพราะกรรมเก่า แต่ทุบได้เฉพาะกาย ฟังนะ ทุบได้เฉพาะกาย ขนาดโดนทุบไปแล้ว โดนทุบไปแล้วยังสมานกายขึ้นมาได้ หัวใจมันทุกข์ที่ไหน? สมานกายก็ได้ แล้วมาลาพระพุทธเจ้าไง ลาพระพุทธเจ้าเสร็จแล้วถึงกลับไปถึงที่เก่า แล้วคลายฤทธิ์ออก เห็นไหม ใจถึงไม่กระทบกระเทือนเลย มันกระทบกระเทือนเฉพาะกายไง

นี่สอุปาทิเสสนิพพาน คือว่ายังมีเศษส่วน สะ เศษส่วน กับอนุปาทิเสสนิพพาน มันเข้าไม่ถึงใจ นี่ขันธ์ ๕ ที่ทำลายสะอาดแล้ว สอุปาทิเสสนิพพาน เพราะจิตนี้ไม่ข้อง กิเลสโดนชำระขาด ถ้าขาดก็จบกัน ขาดตั้งแต่วันนั้น วันที่กิเลสขาดแล้วจะไม่ย้อนกลับมาเลย เป็นอกุปปธรรมไปตลอด จากโสดาบันขึ้นไปจนสิ้นกิเลสไป ไม่ย้อนกลับไง

แต่ถ้าพิจารณาแบบโลกียะที่ว่าเราทำนี่ เราพิจารณารู้เท่ารู้ทันแล้วปล่อยวางๆ เดี๋ยวเขาก็กลับ เพราะไม่ได้ชำระอะไรเลย นี่การปฏิบัติถึงว่าไม่ชำระอะไรเลย รู้เท่าแล้วว่างหมด เข้าใจหมด แต่ไม่ได้ชำระกิเลสแม้แต่ตัวเดียว

นี่ไงถึงว่าแม้ปฏิบัติอยู่ ในปฏิบัติอยู่ยังเป็นโลกียะไง โลกียะ ถ้าเป็นโลกุตตระนี่...

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)